จากเหตุการณ์ที่ผ่านๆ
มาในสังคมไทยได้ผ่านประสบการณ์ในการต่อสู้เพื่อให้สังคมได้อยู่อย่างปกติสุขมาหลายเหตุการณ์
ทั้งการเปลี่ยนการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
มาเป็นระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
มีการปฏิวัติที่เกิดจากความขัดแย้งของคนกลุ่มน้อยกับคนกลุ่มใหญ่มาหลายครั้งหลายครา
จนถึงปัจจุบันนี้
เราต้องเจอกับระบบทุนนิยมที่ทำให้ต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อปากท้องของตนเอง
จนทำให้ลืมคิดถึงเรื่องคุณธรรมที่จะจัดการกับตนเอง และสังคม
จากความเร่งรีบเร่งด่วนในแต่ละวินาทีกับการดิ้นรนที่จะทำให้เรามีชีวิตอยู่นั้น
ทำให้เกิดผลกระทบต่อสังคมเราเป็นอย่างมากในปัจจุบันนี้
หากเราคิดกันดูให้ดีแล้วทุกๆ อย่างเกิดจาก “คน”
ดังนั้นคนจึงต้องเป็นผู้แก้ปัญหาต่างๆ เหล่านี้
ถ้าหากเราจะมองลึกลงไปในเรื่องของคนแล้ว
คนเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของสังคมที่จะสามารถทำให้สังคมหรือเมืองมีความน่าอยู่หรือไม่
ฉะนั้นคนเราจึงต้องใฝ่หาคุณธรรม
หรือธรรมมะที่จะทำให้เราเห็นถึงคุณค่าของคน
หากกล่าวถึงคุณธรรมหรือธรรมะที่จะทำให้เห็นความสำคัญและคุณค่าของคนแล้ว
มีคุณธรรมอยู่ 3 ประการ คือ ความจริง ความงาม และความดี
ซึ่งได้กล่าวไว้อย่างน่าสนใจดังต่อไปนี้
ความจริง
หมายถึงความจริงอะไรก็ตามที่เป็นความจริงไม่ว่าจะเป็นทางโลก หรือทางธรรม
ไม่ว่าจะเป็นทางวัตถุหรือทางจิตใจ ถ้าเป็นความจริงและเป็นสิ่งมีค่า
ซึ่งตีความรวมถึงการค้นพบความจริงทางวิทยาศาสตร์และทางสังคมศาสตร์
ทางวัตถุและจริยธรรม
ซึ่งความจริงเหล่านี้ถ้าเรามองเห็นและยอมรับได้เราก็ย่อมจะมองเห็นคุณค่าของตนเอง
เพราะในตัวของ
คนทุกๆ
คนมีความเข้าใจตัวเองอย่างชัดเจนเพียงแต่ว่าจะยอมรับได้หรือไม่เท่านั้น
ว่าเราอยู่ในสถานะอะไร เราต้องการอะไรอย่างแท้จริง
หากคนเราสามารถที่จะยอมรับความจริงของตัวเอง ว่าอยู่สถานะใด
ต้องการอะไรในชีวิตได้ก็ย่อมจะสามารถที่จะอยู่ในสังความอย่างมีความสุขโดยไม่เบียดเบียนตัวเองหรือผู้อื่น
ความงาม เป็นธรรมชาติของทุกๆ คนที่จะชอบความงามที่เห็นได้ด้วยตา
แต่ในความงามในที่นี้ไม่ใช่ความสวย
แต่หากลึกซึ้งกว่าความสวยที่เกิดจากการสัมผัสจากประสาท
ทั้ง 5 คือ
การสัมผัสด้วยตา สัมผัสด้วยกายสัมผัส สัมผัสด้วยโสตประสาท
สัมผัสด้วยการลิ้มรส และการสัมผัสด้วยจิตใจ
ซึ่งการสัมผัสผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5
นี้จะสร้างประสบการณ์ให้จดจำได้อย่างแม่นยำ ถ้าหากจะมองถึงความงามแล้ว
ศิลปะก็คือความงาม วัฒนธรรมก็เป็นความงาม ความซื่อสัตย์สุจริตก็เป็นความงาม
ชัยชนะก็เป็นความงาม ความพ่ายแพ้ก็เป็นความงาม
ความงามจึงมีความหมายที่กว้าง
เป็นสิ่งที่จรรโลงใจของเราจนทำให้เรารู้สึกเบิกบาน ชุ่มชื่น ดั้งนั้น
คนที่มีความงามอยู่ในหัวใจย่อมเป็นคนที่มองโลกในแง่บวกอยู่เสมอ
มองเห็นปัญหา และสามารถแก้ไขปัญหาอย่างชาญฉลาดด้วยมุมมองที่ต่างๆ
ที่เกิดจากประสบการณ์ผ่านมาในชีวิตของคนๆ นั้น
ความดี
เป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์มีคุณค่าและอยู่ด้วยกันอย่างสันติสุข
รวมถึงความดีต่อตนเอง คนอื่น และส่วนรวม เพราะผู้ที่ยึดมั่นในความดี
ย่อมเป็นผู้ที่มีจิตสำนึกในทางใฝ่ดีมีความยับยั้งชั่งใจในการที่จะกระทำการใดๆ
ก็ตามที่อาจจะเกิดผลกระทบต่อตนเอง และผู้อื่นในทางที่ไม่ดี
จนส่งผลให้เป็นคนที่มีบุคลิกภาพทางความคิดที่ดีเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป
เราจะทำอย่างไรให้ความจริง ความงาม
และความดีเกิดขึ้นในจิตใจของคนให้มากขึ้น เพื่อที่จะให้คุณธรรมทั้ง 3
ข้อนี้เป็นคุณธรรมสำคัญที่จะพัฒนาคนและชาติให้เจริญรุ่งเรืองไปได้โดยสมบูรณ์
นอกจากนี้คุณธรรมที่จะทำให้เกิดเมืองน่าอยู่ยังต้องประกอบด้วยคุณธรรมทางสังคมที่จะทำให้สังคมดำรงอยู่ได้อย่างสันติสุข
4 ประการ คือ มีสรรถภาพ มีเสรีภาพ มีความชอบธรรม และมีความเมตตา
มีสมรรถภาพ คือสังคมที่สามารถที่จะจัดการเรื่องใดๆ
ก็ตามด้วยการมีส่วนร่วมของคนในสังคม คือ ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมตัดสินใจ
จนสามารถที่จะจัดการกับเรื่องต่างๆ โดยใช้ทรัพยากรในการลงทุนน้อยที่สุด
แต่ได้รับผลมากที่สุด หรือจะเรียกได้ว่าสามารถใช้ทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่า
ทั้งทรัพยากรที่ใช้แล้วหมดไป
และทรัพยากรที่ใช้แล้วสามารถสร้างขึ้นมาทดแทนใหม่ได้
ซึ่งหากสังคมใดสามารถที่จะทำเช่นนี้ได้ก็ย่อมจะมีความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันที่จะจัดการกับข้อพิพาทต่างๆ
ดังเช่นตัวอย่างในการทำโครงการของกองทุนชุมชน
ที่มีเงื่อนไขให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการคิด การทำ การตัดสินใจร่วมกัน
โดยทางกองทุนเป็นผู้สนับสนุนหางบประมาณในส่วนที่จำเป็นในการทำงาน
และบุคลากรที่เป็นบุคคล
หรือองค์กรพี่เลี้ยงมาเป็นอาสาสมัครเป็นที่ปรึกษาให้กับชุมชน
จนทำให้ชุมชนสามารถวางแผนการดำเนินการ เขียนแผนการดำเนินการได้ด้วยตนเอง
เพื่อนำเสนอต่อกองทุน เมื่อผ่านการอนุมัติชุมชนก็ปฏิบัติตามแผน
โดยทางกองทุนจะส่งเจ้าหน้าที่มาติดตามผลการดำเนินงานและสรุปผลการทำงานเป็นช่วงๆ
จนเสร็จสิ้นตามโครงการที่ชุมชนได้เสนอ
ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ทำให้ชุมชนสามารถพึ่งตนเองได้อย่างแท้จริง
เมื่อโครงการสำเร็จก็แสดงให้เห็นว่าการกระจายอำนาจให้กับชุมชนเป็นเรื่องที่เป็นไปได้และน่าจะได้รับการสนับสนุนจากรัฐอย่างแท้จริง
จนทำให้รัฐสามารถไว้วางใจชุมชนในการจัดการทรัพยากรของชุมชน รัฐจึงมีโครงการที่มีลักษณะคล้ายกับกองทุนชุมชนอีกหลายโครงการดังที่เห็นได้ในปัจจุบัน
อาทิเช่น โครงการ 1 ตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ โครงการกองทุนหมู่บ้าน เป็นต้น
ให้กับชุมชนเพื่อให้ชุมชนมีประสบการณ์และพัฒนาศักยภาพขององค์กรชุมชน
เช่นนี้ถือว่าเป็นแนวทางที่เสริมสมรรถภาพให้เกิดเมืองน่าอยู่อย่างยั่งยืน
มีเสรีภาพ คือ การที่สมาชิกของชุมชนเสรีภาพทางการพูด การเขียน
รวมถึงการชุมนุมกันอย่างสันติ และปราศจากอาวุธ
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือเป็นพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย
แต่เสรีภาพนี้ไม่ใช่เสรีภาพในอันที่จะละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อื่นเสื่อมเสียไป
และข้อจำกัดของเสรีภาพอีกข้อหนึ่งคือยึดถือประโยชน์ส่วนรวมโดยความเห็นชอบของประชาชนส่วนใหญ่หรือรัฐบาล
จะเห็นได้จากอดีตว่า
ผู้ที่เป็นเผด็จการก็ได้อ้างถึงประโยชน์ส่วนรวมอยู่เสมอโดยที่ไม่มีประชาชนเป็นผู้วินิจฉัย
จนบางครั้งอาจจะมองได้ว่า
การที่เราส่งตัวแทนเข้าไปในรัฐสภาเป็นการจำกัดเสรีภาพที่ชอบธรรม
แต่อย่างไรก็ตามเสรีภาพก็ยังมีคุณแก่สังคม เพราะคนในสังคมที่มีอยู่จำนวนมาก
ต่างก็มีความคิดเป็นของตัวเองที่เกิดจากประสบการณ์ของแต่ละคนที่รับมาจากสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกัน
เมื่อมีหลากหลายความคิดหลากหลายมุมมอง หลากหลายมันสมอง
ทุกความคิดย่อมสามารถสร้างประโยชน์ต่อสังคมโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ
แต่หากไม่มีการเปิดโอกาสให้คนส่วนใหญ่ โดยที่ฟังแต่เหตุผลของคนส่วนน้อยแล้ว
การที่เราจะพัฒนาก้าวไปข้างหน้าก็จะสะดุดลงเพราะเหตุแห่งความขัดแย้งทางความคิด
หากสังคมเราสามารถที่จะสมานฉันท์ทางความคิดกันได้ก็ย่อมจะมีทางออกมากขึ้นในสังคมได้เช่นกัน
ดังจะเห็นได้จากการการประท้วงในหลายยุคหลายสมัยที่ผ่านมามักเกิดจากการไม่มีส่วนร่วมของผู้ที่ได้รับผลกระทบในทางที่จะสูญเสีย
เมื่อคนหนึ่งเป็นผู้คิด ผู้หนึ่งเป็นผู้ทำ
แต่อีกผู้หนึ่งเป็นผู้ที่จะต้องสูญเสียการเรียกร้องก็ย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
และหากการเรียกร้องนั้นเป็นการเรียกร้องที่คนส่วนใหญ่เห็นตรงกันแล้วผู้เรียกร้องก็จะเพิ่มปริมาณเองโดยอัตโนมัติ
ถ้าผู้ถูกเรียกร้องเป็นผู้มีอำนาจก็อาจมีการใช้กำลังกันเกิดขึ้น
ดังที่มีภาพตัวอย่างให้เห็นกันในอดีต
การสูญเสียของประชากรในยุคที่เผด็จการครองเมือง
โดยไม่ฟังความเห็นชอบของประชาชน เมื่อถูกกดขี่ทางความคิด
ถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพแล้ว
ความขัดแย้งก็เกิดขึ้นจนกลายเป็นการประท้วงที่บานปลาย
และยิ่งหากเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นในสมัยนี้
ซึ่งเป็นยุคสมัยของเทคโนโลยีการสื่อสารแล้ว
การกระจายความคิดย่อมเป็นไปได้ง่าย ความคิดเห็นที่หลากหลาย
หากประชาชนส่วนใหญ่รวมตัวกันได้การก่องการชุมนุมก็เป็นไปได้โดยง่าย
และหามีผู้ไม่หวังดีเข้ามาแทรกแซงก็จะเกิดเหตุการณ์ที่บานปลายขึ้นได้
จนเสียภาพพจน์กันทั้งประเทศ
ดังนั้นการมีเสรีภาพก็ต้องคำนึงถึงส่วนรวมด้วยเพื่อให้เกิดผลอันสูงสุดต่อประชาชน
การเผยแพร่ความคิดผ่านการพูด การเขียน และอื่นๆ
ต้องไม่เป็นการคุกคามและทำลายสัมพันธภาพ
และต้องมีความรับผิดชอบในความคิดของผู้เผยแพร่ด้วย
ผนวกกับที่เราต้องนำเอาความคิดเห็นของผู้อื่นที่เป็นประโยชน์เข้ามาผนวกในการตัดสินใจในการที่จะสื่ออกไป
ก็จะทำให้เมืองน่าอยู่อย่างที่ควรจะเป็น
มีความชอบธรรม
หรือความยุติธรรม ซึ่งหมายถึง
ความเสมอภาคที่พึงมีต่อกันในสังคมโดยไม่มีการแบ่งชั้น วรรณะ
ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน หากเมืองใดมีความชอบธรรม มีผู้นำที่ยุติธรรม
มีกระบวนการในการสรรหาความชอบธรรมอย่างเป็นระบบ โดยไม่มีการทุจริตแล้วนั้น
คนในสังคมหรือชุมชนนั้นก็จะอยู่กันอย่างสันติสุข
เมื่อมีปัญหาหรือเหตุการณ์เกิดขึ้นก็จะปรึกษากัน
ผู้ใดทำผิดก็ต้องถูกลงโทษไม่ว่าจะเป็นลูกเศรษฐีหรือยาจก
ซึ่งในสังคมที่ยุติธรรมนั้น ความสงบเรียบร้อยย่อมเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง
เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ อัยการ
ต้องมีสมรรถภาพในการทำงานและเอาใจใส่ทุกข์สุขของประชาชน
ไม่มีการยัดเยียดข้อหาให้กับผู้บริสุทธิ์ ไม่มีการยิงทิ้ง
ไม่มีการกล่าวหาใครโดยปราศจากซึ่งหลักฐาน เพราะเหล่าทหาร ตำรวจ
และข้าราชการทั้งหลายเป็นที่พึ่งของประชาชนหาใช่นายไม่
อัยการและตุลาการต้องทรงไว้ซึ่งเกียรติอยู่เหนืออิทธิพลของเงิน การขู่เข็ญ
และอำนาจ สังคมที่มีความยุติธรรมจึงเป็นสังคมที่ใครทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
โดยไม่ต้องรอผลกรรมในชาติหน้า ผู้คนที่เป็นผู้ดีจอมปลอมก็จะถูกค้นพบในไม่ช้า เมืองที่มีความยุติธรรม ก็ย่อมเป็นเมืองน่าอยู่ในฝันของทุกๆ คน
หากสังคมมี สมรรถภาพ มีเสรีภาพ
และมีความชอบธรรมแล้วแต่ยังขาดซึ่งความเมตตาแล้วก็หาได้เป็นสังคมที่สมบูรณ์ไม่
เนื่องจากคนในสังคมแห่งความเป็นจริงย่อมมีความแตกต่างกัน เช่น มีคนจน
คนรวย คนฉลาด คนไม่ฉลาด เป็นต้น ซึ่งเกิดจากสาเหตุต่างๆ กัน เช่น
ในเรื่องกรรมพันธุ์ ความสามารถ เป็นต้น จะหาว่าเกิดจากกรรมเก่าไม่ได้
เพราะคนแต่ละคนก็ย่อมมีโอกาสที่ไม่เท่ากัน
ขอเพียงแต่ผู้มีโอกาสทั้งหลายในสังคมให้ความเมตตาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ในส่วนที่ตนเองมี
ลงมายังผู้มีโอกาสน้อยกว่า สังคมก็จะแลดูน่าอยู่ยิ่งขึ้น
ดังเห็นได้จากตัวอย่างของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
ของปวงชนชาวไทยที่ทรงพระเมตตาตากตรำพระวรกายทรงงาน
เพื่อที่จะได้เห็นประชาชนของพระองค์อยู่กันอย่างเป็นสุข
ซึ่งภาพเหล่านี้ยังติดอยู่ในความทรงจำของประสกนิกรชาวไทยทั้งหลาย
ภาพที่พระองค์ทรงงาน เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมประชาชนของพระองค์ในชนบท
ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็สามารถสัมผัสได้ถึงความเมตตาที่พระองค์พระราชทานให้กับประชาชนของพระองค์ทุกๆ
คน และนอกจากนี้โครงการต่างๆ ที่เกิดจากความคิดของพระองค์ เช่น
โครงการหลวง มูลนิธิต่างๆ ที่อยู่ในพระราชูปถัมภ์ เป็นต้น
ที่พระองค์ทรงมอบให้ประชาชนชาวไทยเพื่อให้ประชาชนของพระองค์มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
ซึ่งพระองค์ท่านทรงเป็นแบบอย่างในความเมตตาที่ยิ่งใหญ่สำหรับปวงชนชาวไทย
หากมีผู้มีโอกาสทางสังคมสามารถมอบความเมตตาอย่างพระองค์ท่านให้กับผู้มีโอกาสน้อยกว่า
สังคม หรือเมืองนั้นก็ย่อมจะน่าอยู่อย่างแท้จริง
นอกจากคุณธรรมต่างๆ
ที่กล่าวมาเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่สามารถทำให้เกิดเมืองน่าอยู่
หรืออาจจะเรียกได้ว่าเมืองในฝันแล้ว การที่คนทุกๆ
คนรู้จักบทบาทหน้าที่ของตนเองในสังคมนั้นๆ ว่าตนเองมีบทบาทหน้าที่อย่างไร
และปฏิบัติตามบทบาทหน้าที่ของตนเองอย่างไม่บกพร่องแล้ว
ย่อมจะทำให้เกิดการพัฒนาศักยภาพของตนเองและชุมชนได้อย่างแท้จริง
มิใช่อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันที่ค่านิยมต่างๆ จากสื่อต่างๆ
เข้ามาครอบงำในจิตสำนึกจนลืมรากฐานของคนไทย
ลืมประเพณีวัฒนธรรมของคนไทยตั้งแต่ดั้งเดิม
จากการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมที่ผ่านมาของประเทศไทย
ในระยะแรกได้เน้นทางด้านเศรษฐกิจ มีการก่อสร้างโรงงานมากมาย
แต่ในขณะนั้นลืมนึกถึงคนที่จะต้องพัฒนาควบคู่กันไป
จนกระทั้งล่วงเลยมาถึงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 9 เป็นต้นมา
ที่เน้นในการพัฒนาคนจนสามารถเห็นความหลากหลายทางความคิดจากการทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
จากการจัดประชุมแบบมีส่วนร่วมจากประชาชนในระดับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ
จังหวัด จนถึงระดับประเทศ เพื่อที่จะจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เกิดจากความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง
แต่ในทางปฏิบัติการที่เจ้าหน้าที่บางคนยังเป็นผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินใจยังไม่เข้าใจถึงกระบวนการนี้
ไม่ได้เปิดโอกาสให้กับชุมชนอย่างแท้จริง
ก็เลยทำให้ข้อมูลบางอย่างเป็นข้อมูลที่ถูกสร้างขึ้นมากจากแผนเดิมๆ
ที่เขาเหล่านั้นเคยกระทำโดยไม่ได้ผ่านการเห็นชอบหรือรับรองจากที่ประชุมของประชาชนส่วนใหญ่ที่เป็นผู้ที่จะต้องรับผิดชอบในแผนส่วนที่เกิดขึ้น
จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้บุคคลเหล่านี้ได้เข้าใจถึงกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างแท้จริง
โดยที่เจ้าหน้าที่เหล่านี้เป็นเพียงผู้ดำเนินการและอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนและชุมชนได้เข้ามามีบทบาทให้การพัฒนาสังคมร่วมกัน
หากทำเช่นนี้ได้ก็จะเกิดเมืองที่น่าอยู่ควบคู่ไปกับการที่มีคนที่ประสิทธิภาพ
ยอมรับความจริง มีความงามในความคิดของเขาเหล่านั้น และใฝ่ในความดี
กอรปกับสังคมที่มีคุณธรรม คือ มีสมรรถภาพ มีเสรีภาพ มีความชอบธรรม
และมีความเมตตา ดังคำสอนของคนโบราณที่ว่า “หากเราจะยิงธนูไปข้างหน้า
เราต้องง้างคันธนูไปข้างหลังให้ได้มากที่สุด
เพื่อที่จะให้ลูกธนูพุ่งไปสู่เป้าหมายอย่างรุนแรง รวดเร็ว และแม่นยำ”
ซึ่งก็หมายถึงการพัฒนาสังคมในยุคต่อๆ ไปให้เกิดเมืองน่าอยู่ในทุกๆ ที่
ต้องหันหลังกลับไปมองประวัติศาสตร์ที่เคยเป็นมา ว่าเรามีรากฐานอย่างไร
มีประเพณีวัฒนธรรมอย่างไร เคยชินอยู่กับสิ่งใด
สิ่งใดที่ควรจะกระทำการเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสม ส่วนใดที่ควรปรับปรุง
และสิ่งใดที่ควรยุติ โดยอาศัยการร่วมคิด ร่วมทำ
ร่วมตัดสินใจกับคนในสังคมเดียวกัน
เพื่อจะเป็นแนวทางที่จะพัฒนาบ้านเมืองเข้าไปสู่ยุคต่อๆ ไปอย่างมั่นคง
แล้วทุกๆ คนในสังคมก็จะชัดเจนในบทบาทหน้าที่ของตนเอง
และกระทำบทบาทหน้าที่นั้นอย่างเต็มความสามารถ
แต่ก็ไม่ลืมที่จะต้องร่วมกับประเมินผลของสังคมร่วมกันเป็นระยะๆ
เพื่อที่จะร่วมด้วยช่วยกันแก้ไขปัญหาต่างๆ
ที่อาจจะพบในระหว่างการจัดกิจกรรมกระบวนการพัฒนาที่ทุกๆ
คนร่วมกันคิดนั้นจะเป็นแผนแม่บทที่ยั่งยืนยึดถือปฏิบัติ
และถูกปรับปรุงให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา
ส่วนที่สำคัญอีกส่วนหนึ่งก็คือการให้โอกาสกับทุกๆ คนที่มีส่วนร่วมในสังคมนั้น
ไม่ว่าจะเป็น เด็ก ผู้ใหญ่ คนชรา ผู้นำในชุมชน และผู้นำศาสนา
โดยไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะเข้ามาแบ่งปันความคิดกันในสังคมเพื่อให้เกิดความหลากหลายทางความคิดให้ก่อประโยชน์ต่อตนเอง
และส่วนรวม เพราะการที่สังคมใดก็ตามมีกิจกรรมปะทะสังสรรค์ทางความคิดบ่อยๆ
ก็จะมีหน่ออ่อนทางความคิดเกิดขึ้น
และจะส่งผลให้สังคมนั้นมีผู้ที่จะร่วมทำงานที่เป็นกลุ่มใหม่ๆ อยู่เสมอ
สังคมนั้นก็จะมีการเปิดรับสิ่งใหม่ๆ
ที่จะเข้ามาปรับปรุงสังคมนั้นให้ดีขึ้นตามกระแสต่างๆ ที่มีมาในปัจจุบัน
โดยที่มีการกลั่นกรองสาระหรือกระแสที่จะเข้ามาจากเวทีการประชุมของกลุ่มต่างๆ
ที่ปะทะสังสรรค์ทางความคิดกันว่าสิ่งที่ได้รับมานั้นเป็นจริงแค่ไหน
และเหมาะสมหรือไม่ที่สังคมของเราจะรับมันเข้ามาอย่างเต็มตัว
หรือแบ่งรับแบ่งสู้ หรือไม่รับเลย
จะเกิดการป้องกันสังคมและวัฒนธรรมที่อาจจะเสื่อมสลายขึ้นโดยอัตโนมัติ
จากกลุ่มต่างๆ ที่หวังดีในสังคมนั้น
เมืองน่าอยู่จะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อคนรู้จักตนเอง สังคมมีคุณธรรม และทุกๆ
คนในสังคมมีส่วนร่วมในการวางแผน ปฏิบัติการต่างๆ
และพร้อมที่จะรับผลที่เกิดขึ้นทั้งดีและไม่ดี
เพื่อที่จะช่วยกันแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ
ดังนั้นเราซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของสังคมจึงควรที่จะเข้าไปแสดงบทบาทและใช้สิทธิ์ของเราอย่างเต็มที่เพื่อที่จะช่วยกันสร้างให้เกิดเมืองที่น่าอยู่
พร้อมๆ กับการเชิดชูคุณธรรมให้กลายเป็นวัฒนธรรมของคนที่อยู่ในสังคมนั้น
ถ้าเป็นเช่นนี้ได้สังคมก็จะมีกรอบป้องกันสิ่งที่ไม่ดีจากทุกๆ
คนในสังคมมิใช่เพียงแต่เจ้าหน้าที่ของรัฐเพียงฝ่ายเดียว
เมืองน่าอยู่จึงไม่ใช่ความฝัน แต่หากเป็นความจริงที่ทุกคนทำได้
เพียงแต่จะทำหรือไม่เท่านั้น และคุณจะทำอย่างไรในเมื่อทราบเช่นนี้แล้ว
คุณจะให้เมืองน่าอยู่เป็นแค่ฝันของคุณ
หรือเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้มันเกิดขึ้นในสังคมปัจจุบันนี้
ไม่มีใครตัดสินใจได้นอกเสียจากตัวของคุณเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น