หน้าแรก

วันพุธที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

เมืองน่าอยู่เชิดชูคุณธรรม

จากเหตุการณ์ที่ผ่านๆ มาในสังคมไทยได้ผ่านประสบการณ์ในการต่อสู้เพื่อให้สังคมได้อยู่อย่างปกติสุขมาหลายเหตุการณ์ ทั้งการเปลี่ยนการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข มีการปฏิวัติที่เกิดจากความขัดแย้งของคนกลุ่มน้อยกับคนกลุ่มใหญ่มาหลายครั้งหลายครา จนถึงปัจจุบันนี้ เราต้องเจอกับระบบทุนนิยมที่ทำให้ต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อปากท้องของตนเอง จนทำให้ลืมคิดถึงเรื่องคุณธรรมที่จะจัดการกับตนเอง และสังคม จากความเร่งรีบเร่งด่วนในแต่ละวินาทีกับการดิ้นรนที่จะทำให้เรามีชีวิตอยู่นั้น ทำให้เกิดผลกระทบต่อสังคมเราเป็นอย่างมากในปัจจุบันนี้ หากเราคิดกันดูให้ดีแล้วทุกๆ อย่างเกิดจาก “คน” ดังนั้นคนจึงต้องเป็นผู้แก้ปัญหาต่างๆ เหล่านี้ ถ้าหากเราจะมองลึกลงไปในเรื่องของคนแล้ว คนเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของสังคมที่จะสามารถทำให้สังคมหรือเมืองมีความน่าอยู่หรือไม่ ฉะนั้นคนเราจึงต้องใฝ่หาคุณธรรม หรือธรรมมะที่จะทำให้เราเห็นถึงคุณค่าของคน
หากกล่าวถึงคุณธรรมหรือธรรมะที่จะทำให้เห็นความสำคัญและคุณค่าของคนแล้ว มีคุณธรรมอยู่ 3 ประการ คือ ความจริง ความงาม และความดี ซึ่งได้กล่าวไว้อย่างน่าสนใจดังต่อไปนี้

ความจริง หมายถึงความจริงอะไรก็ตามที่เป็นความจริงไม่ว่าจะเป็นทางโลก หรือทางธรรม ไม่ว่าจะเป็นทางวัตถุหรือทางจิตใจ ถ้าเป็นความจริงและเป็นสิ่งมีค่า ซึ่งตีความรวมถึงการค้นพบความจริงทางวิทยาศาสตร์และทางสังคมศาสตร์ ทางวัตถุและจริยธรรม ซึ่งความจริงเหล่านี้ถ้าเรามองเห็นและยอมรับได้เราก็ย่อมจะมองเห็นคุณค่าของตนเอง เพราะในตัวของ
คนทุกๆ คนมีความเข้าใจตัวเองอย่างชัดเจนเพียงแต่ว่าจะยอมรับได้หรือไม่เท่านั้น ว่าเราอยู่ในสถานะอะไร เราต้องการอะไรอย่างแท้จริง หากคนเราสามารถที่จะยอมรับความจริงของตัวเอง ว่าอยู่สถานะใด ต้องการอะไรในชีวิตได้ก็ย่อมจะสามารถที่จะอยู่ในสังความอย่างมีความสุขโดยไม่เบียดเบียนตัวเองหรือผู้อื่น
ความงาม เป็นธรรมชาติของทุกๆ คนที่จะชอบความงามที่เห็นได้ด้วยตา แต่ในความงามในที่นี้ไม่ใช่ความสวย แต่หากลึกซึ้งกว่าความสวยที่เกิดจากการสัมผัสจากประสาท
ทั้ง 5 คือ การสัมผัสด้วยตา สัมผัสด้วยกายสัมผัส สัมผัสด้วยโสตประสาท สัมผัสด้วยการลิ้มรส และการสัมผัสด้วยจิตใจ ซึ่งการสัมผัสผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 นี้จะสร้างประสบการณ์ให้จดจำได้อย่างแม่นยำ ถ้าหากจะมองถึงความงามแล้ว ศิลปะก็คือความงาม วัฒนธรรมก็เป็นความงาม ความซื่อสัตย์สุจริตก็เป็นความงาม ชัยชนะก็เป็นความงาม ความพ่ายแพ้ก็เป็นความงาม ความงามจึงมีความหมายที่กว้าง เป็นสิ่งที่จรรโลงใจของเราจนทำให้เรารู้สึกเบิกบาน ชุ่มชื่น ดั้งนั้น คนที่มีความงามอยู่ในหัวใจย่อมเป็นคนที่มองโลกในแง่บวกอยู่เสมอ มองเห็นปัญหา และสามารถแก้ไขปัญหาอย่างชาญฉลาดด้วยมุมมองที่ต่างๆ ที่เกิดจากประสบการณ์ผ่านมาในชีวิตของคนๆ นั้น
ความดี เป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์มีคุณค่าและอยู่ด้วยกันอย่างสันติสุข รวมถึงความดีต่อตนเอง คนอื่น และส่วนรวม เพราะผู้ที่ยึดมั่นในความดี ย่อมเป็นผู้ที่มีจิตสำนึกในทางใฝ่ดีมีความยับยั้งชั่งใจในการที่จะกระทำการใดๆ ก็ตามที่อาจจะเกิดผลกระทบต่อตนเอง และผู้อื่นในทางที่ไม่ดี จนส่งผลให้เป็นคนที่มีบุคลิกภาพทางความคิดที่ดีเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป
เราจะทำอย่างไรให้ความจริง ความงาม และความดีเกิดขึ้นในจิตใจของคนให้มากขึ้น เพื่อที่จะให้คุณธรรมทั้ง 3 ข้อนี้เป็นคุณธรรมสำคัญที่จะพัฒนาคนและชาติให้เจริญรุ่งเรืองไปได้โดยสมบูรณ์ นอกจากนี้คุณธรรมที่จะทำให้เกิดเมืองน่าอยู่ยังต้องประกอบด้วยคุณธรรมทางสังคมที่จะทำให้สังคมดำรงอยู่ได้อย่างสันติสุข 4 ประการ คือ มีสรรถภาพ มีเสรีภาพ มีความชอบธรรม และมีความเมตตา
มีสมรรถภาพ คือสังคมที่สามารถที่จะจัดการเรื่องใดๆ ก็ตามด้วยการมีส่วนร่วมของคนในสังคม คือ ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมตัดสินใจ จนสามารถที่จะจัดการกับเรื่องต่างๆ โดยใช้ทรัพยากรในการลงทุนน้อยที่สุด แต่ได้รับผลมากที่สุด หรือจะเรียกได้ว่าสามารถใช้ทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่า ทั้งทรัพยากรที่ใช้แล้วหมดไป และทรัพยากรที่ใช้แล้วสามารถสร้างขึ้นมาทดแทนใหม่ได้ ซึ่งหากสังคมใดสามารถที่จะทำเช่นนี้ได้ก็ย่อมจะมีความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันที่จะจัดการกับข้อพิพาทต่างๆ ดังเช่นตัวอย่างในการทำโครงการของกองทุนชุมชน ที่มีเงื่อนไขให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการคิด การทำ การตัดสินใจร่วมกัน โดยทางกองทุนเป็นผู้สนับสนุนหางบประมาณในส่วนที่จำเป็นในการทำงาน และบุคลากรที่เป็นบุคคล หรือองค์กรพี่เลี้ยงมาเป็นอาสาสมัครเป็นที่ปรึกษาให้กับชุมชน จนทำให้ชุมชนสามารถวางแผนการดำเนินการ เขียนแผนการดำเนินการได้ด้วยตนเอง เพื่อนำเสนอต่อกองทุน เมื่อผ่านการอนุมัติชุมชนก็ปฏิบัติตามแผน โดยทางกองทุนจะส่งเจ้าหน้าที่มาติดตามผลการดำเนินงานและสรุปผลการทำงานเป็นช่วงๆ จนเสร็จสิ้นตามโครงการที่ชุมชนได้เสนอ ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ทำให้ชุมชนสามารถพึ่งตนเองได้อย่างแท้จริง เมื่อโครงการสำเร็จก็แสดงให้เห็นว่าการกระจายอำนาจให้กับชุมชนเป็นเรื่องที่เป็นไปได้และน่าจะได้รับการสนับสนุนจากรัฐอย่างแท้จริง จนทำให้รัฐสามารถไว้วางใจชุมชนในการจัดการทรัพยากรของชุมชน รัฐจึงมีโครงการที่มีลักษณะคล้ายกับกองทุนชุมชนอีกหลายโครงการดังที่เห็นได้ในปัจจุบัน อาทิเช่น โครงการ 1 ตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ โครงการกองทุนหมู่บ้าน เป็นต้น ให้กับชุมชนเพื่อให้ชุมชนมีประสบการณ์และพัฒนาศักยภาพขององค์กรชุมชน เช่นนี้ถือว่าเป็นแนวทางที่เสริมสมรรถภาพให้เกิดเมืองน่าอยู่อย่างยั่งยืน
มีเสรีภาพ คือ การที่สมาชิกของชุมชนเสรีภาพทางการพูด การเขียน รวมถึงการชุมนุมกันอย่างสันติ และปราศจากอาวุธ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือเป็นพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย แต่เสรีภาพนี้ไม่ใช่เสรีภาพในอันที่จะละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อื่นเสื่อมเสียไป และข้อจำกัดของเสรีภาพอีกข้อหนึ่งคือยึดถือประโยชน์ส่วนรวมโดยความเห็นชอบของประชาชนส่วนใหญ่หรือรัฐบาล จะเห็นได้จากอดีตว่า ผู้ที่เป็นเผด็จการก็ได้อ้างถึงประโยชน์ส่วนรวมอยู่เสมอโดยที่ไม่มีประชาชนเป็นผู้วินิจฉัย จนบางครั้งอาจจะมองได้ว่า การที่เราส่งตัวแทนเข้าไปในรัฐสภาเป็นการจำกัดเสรีภาพที่ชอบธรรม แต่อย่างไรก็ตามเสรีภาพก็ยังมีคุณแก่สังคม เพราะคนในสังคมที่มีอยู่จำนวนมาก ต่างก็มีความคิดเป็นของตัวเองที่เกิดจากประสบการณ์ของแต่ละคนที่รับมาจากสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกัน เมื่อมีหลากหลายความคิดหลากหลายมุมมอง หลากหลายมันสมอง ทุกความคิดย่อมสามารถสร้างประโยชน์ต่อสังคมโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ แต่หากไม่มีการเปิดโอกาสให้คนส่วนใหญ่ โดยที่ฟังแต่เหตุผลของคนส่วนน้อยแล้ว การที่เราจะพัฒนาก้าวไปข้างหน้าก็จะสะดุดลงเพราะเหตุแห่งความขัดแย้งทางความคิด หากสังคมเราสามารถที่จะสมานฉันท์ทางความคิดกันได้ก็ย่อมจะมีทางออกมากขึ้นในสังคมได้เช่นกัน ดังจะเห็นได้จากการการประท้วงในหลายยุคหลายสมัยที่ผ่านมามักเกิดจากการไม่มีส่วนร่วมของผู้ที่ได้รับผลกระทบในทางที่จะสูญเสีย เมื่อคนหนึ่งเป็นผู้คิด ผู้หนึ่งเป็นผู้ทำ แต่อีกผู้หนึ่งเป็นผู้ที่จะต้องสูญเสียการเรียกร้องก็ย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา และหากการเรียกร้องนั้นเป็นการเรียกร้องที่คนส่วนใหญ่เห็นตรงกันแล้วผู้เรียกร้องก็จะเพิ่มปริมาณเองโดยอัตโนมัติ ถ้าผู้ถูกเรียกร้องเป็นผู้มีอำนาจก็อาจมีการใช้กำลังกันเกิดขึ้น ดังที่มีภาพตัวอย่างให้เห็นกันในอดีต การสูญเสียของประชากรในยุคที่เผด็จการครองเมือง โดยไม่ฟังความเห็นชอบของประชาชน เมื่อถูกกดขี่ทางความคิด ถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพแล้ว ความขัดแย้งก็เกิดขึ้นจนกลายเป็นการประท้วงที่บานปลาย และยิ่งหากเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นในสมัยนี้ ซึ่งเป็นยุคสมัยของเทคโนโลยีการสื่อสารแล้ว การกระจายความคิดย่อมเป็นไปได้ง่าย ความคิดเห็นที่หลากหลาย หากประชาชนส่วนใหญ่รวมตัวกันได้การก่องการชุมนุมก็เป็นไปได้โดยง่าย และหามีผู้ไม่หวังดีเข้ามาแทรกแซงก็จะเกิดเหตุการณ์ที่บานปลายขึ้นได้ จนเสียภาพพจน์กันทั้งประเทศ ดังนั้นการมีเสรีภาพก็ต้องคำนึงถึงส่วนรวมด้วยเพื่อให้เกิดผลอันสูงสุดต่อประชาชน การเผยแพร่ความคิดผ่านการพูด การเขียน และอื่นๆ ต้องไม่เป็นการคุกคามและทำลายสัมพันธภาพ และต้องมีความรับผิดชอบในความคิดของผู้เผยแพร่ด้วย ผนวกกับที่เราต้องนำเอาความคิดเห็นของผู้อื่นที่เป็นประโยชน์เข้ามาผนวกในการตัดสินใจในการที่จะสื่ออกไป ก็จะทำให้เมืองน่าอยู่อย่างที่ควรจะเป็น
มีความชอบธรรม หรือความยุติธรรม ซึ่งหมายถึง ความเสมอภาคที่พึงมีต่อกันในสังคมโดยไม่มีการแบ่งชั้น วรรณะ ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน หากเมืองใดมีความชอบธรรม มีผู้นำที่ยุติธรรม มีกระบวนการในการสรรหาความชอบธรรมอย่างเป็นระบบ โดยไม่มีการทุจริตแล้วนั้น คนในสังคมหรือชุมชนนั้นก็จะอยู่กันอย่างสันติสุข เมื่อมีปัญหาหรือเหตุการณ์เกิดขึ้นก็จะปรึกษากัน ผู้ใดทำผิดก็ต้องถูกลงโทษไม่ว่าจะเป็นลูกเศรษฐีหรือยาจก ซึ่งในสังคมที่ยุติธรรมนั้น ความสงบเรียบร้อยย่อมเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ อัยการ ต้องมีสมรรถภาพในการทำงานและเอาใจใส่ทุกข์สุขของประชาชน ไม่มีการยัดเยียดข้อหาให้กับผู้บริสุทธิ์ ไม่มีการยิงทิ้ง ไม่มีการกล่าวหาใครโดยปราศจากซึ่งหลักฐาน เพราะเหล่าทหาร ตำรวจ และข้าราชการทั้งหลายเป็นที่พึ่งของประชาชนหาใช่นายไม่ อัยการและตุลาการต้องทรงไว้ซึ่งเกียรติอยู่เหนืออิทธิพลของเงิน การขู่เข็ญ และอำนาจ สังคมที่มีความยุติธรรมจึงเป็นสังคมที่ใครทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว โดยไม่ต้องรอผลกรรมในชาติหน้า ผู้คนที่เป็นผู้ดีจอมปลอมก็จะถูกค้นพบในไม่ช้า เมืองที่มีความยุติธรรม ก็ย่อมเป็นเมืองน่าอยู่ในฝันของทุกๆ คน
หากสังคมมี สมรรถภาพ มีเสรีภาพ และมีความชอบธรรมแล้วแต่ยังขาดซึ่งความเมตตาแล้วก็หาได้เป็นสังคมที่สมบูรณ์ไม่ เนื่องจากคนในสังคมแห่งความเป็นจริงย่อมมีความแตกต่างกัน เช่น มีคนจน คนรวย คนฉลาด คนไม่ฉลาด เป็นต้น ซึ่งเกิดจากสาเหตุต่างๆ กัน เช่น ในเรื่องกรรมพันธุ์ ความสามารถ เป็นต้น จะหาว่าเกิดจากกรรมเก่าไม่ได้ เพราะคนแต่ละคนก็ย่อมมีโอกาสที่ไม่เท่ากัน ขอเพียงแต่ผู้มีโอกาสทั้งหลายในสังคมให้ความเมตตาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ในส่วนที่ตนเองมี ลงมายังผู้มีโอกาสน้อยกว่า สังคมก็จะแลดูน่าอยู่ยิ่งขึ้น ดังเห็นได้จากตัวอย่างของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ของปวงชนชาวไทยที่ทรงพระเมตตาตากตรำพระวรกายทรงงาน เพื่อที่จะได้เห็นประชาชนของพระองค์อยู่กันอย่างเป็นสุข ซึ่งภาพเหล่านี้ยังติดอยู่ในความทรงจำของประสกนิกรชาวไทยทั้งหลาย ภาพที่พระองค์ทรงงาน เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมประชาชนของพระองค์ในชนบท ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็สามารถสัมผัสได้ถึงความเมตตาที่พระองค์พระราชทานให้กับประชาชนของพระองค์ทุกๆ คน และนอกจากนี้โครงการต่างๆ ที่เกิดจากความคิดของพระองค์ เช่น โครงการหลวง มูลนิธิต่างๆ ที่อยู่ในพระราชูปถัมภ์ เป็นต้น ที่พระองค์ทรงมอบให้ประชาชนชาวไทยเพื่อให้ประชาชนของพระองค์มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ซึ่งพระองค์ท่านทรงเป็นแบบอย่างในความเมตตาที่ยิ่งใหญ่สำหรับปวงชนชาวไทย หากมีผู้มีโอกาสทางสังคมสามารถมอบความเมตตาอย่างพระองค์ท่านให้กับผู้มีโอกาสน้อยกว่า สังคม หรือเมืองนั้นก็ย่อมจะน่าอยู่อย่างแท้จริง
นอกจากคุณธรรมต่างๆ ที่กล่าวมาเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่สามารถทำให้เกิดเมืองน่าอยู่ หรืออาจจะเรียกได้ว่าเมืองในฝันแล้ว การที่คนทุกๆ คนรู้จักบทบาทหน้าที่ของตนเองในสังคมนั้นๆ ว่าตนเองมีบทบาทหน้าที่อย่างไร และปฏิบัติตามบทบาทหน้าที่ของตนเองอย่างไม่บกพร่องแล้ว ย่อมจะทำให้เกิดการพัฒนาศักยภาพของตนเองและชุมชนได้อย่างแท้จริง มิใช่อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันที่ค่านิยมต่างๆ จากสื่อต่างๆ เข้ามาครอบงำในจิตสำนึกจนลืมรากฐานของคนไทย ลืมประเพณีวัฒนธรรมของคนไทยตั้งแต่ดั้งเดิม
จากการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมที่ผ่านมาของประเทศไทย ในระยะแรกได้เน้นทางด้านเศรษฐกิจ มีการก่อสร้างโรงงานมากมาย แต่ในขณะนั้นลืมนึกถึงคนที่จะต้องพัฒนาควบคู่กันไป จนกระทั้งล่วงเลยมาถึงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 9 เป็นต้นมา ที่เน้นในการพัฒนาคนจนสามารถเห็นความหลากหลายทางความคิดจากการทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จากการจัดประชุมแบบมีส่วนร่วมจากประชาชนในระดับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด จนถึงระดับประเทศ เพื่อที่จะจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เกิดจากความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง แต่ในทางปฏิบัติการที่เจ้าหน้าที่บางคนยังเป็นผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินใจยังไม่เข้าใจถึงกระบวนการนี้ ไม่ได้เปิดโอกาสให้กับชุมชนอย่างแท้จริง ก็เลยทำให้ข้อมูลบางอย่างเป็นข้อมูลที่ถูกสร้างขึ้นมากจากแผนเดิมๆ ที่เขาเหล่านั้นเคยกระทำโดยไม่ได้ผ่านการเห็นชอบหรือรับรองจากที่ประชุมของประชาชนส่วนใหญ่ที่เป็นผู้ที่จะต้องรับผิดชอบในแผนส่วนที่เกิดขึ้น จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้บุคคลเหล่านี้ได้เข้าใจถึงกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างแท้จริง โดยที่เจ้าหน้าที่เหล่านี้เป็นเพียงผู้ดำเนินการและอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนและชุมชนได้เข้ามามีบทบาทให้การพัฒนาสังคมร่วมกัน หากทำเช่นนี้ได้ก็จะเกิดเมืองที่น่าอยู่ควบคู่ไปกับการที่มีคนที่ประสิทธิภาพ ยอมรับความจริง มีความงามในความคิดของเขาเหล่านั้น และใฝ่ในความดี กอรปกับสังคมที่มีคุณธรรม คือ มีสมรรถภาพ มีเสรีภาพ มีความชอบธรรม และมีความเมตตา ดังคำสอนของคนโบราณที่ว่า “หากเราจะยิงธนูไปข้างหน้า เราต้องง้างคันธนูไปข้างหลังให้ได้มากที่สุด เพื่อที่จะให้ลูกธนูพุ่งไปสู่เป้าหมายอย่างรุนแรง รวดเร็ว และแม่นยำ” ซึ่งก็หมายถึงการพัฒนาสังคมในยุคต่อๆ ไปให้เกิดเมืองน่าอยู่ในทุกๆ ที่ ต้องหันหลังกลับไปมองประวัติศาสตร์ที่เคยเป็นมา ว่าเรามีรากฐานอย่างไร มีประเพณีวัฒนธรรมอย่างไร เคยชินอยู่กับสิ่งใด สิ่งใดที่ควรจะกระทำการเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสม ส่วนใดที่ควรปรับปรุง และสิ่งใดที่ควรยุติ โดยอาศัยการร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมตัดสินใจกับคนในสังคมเดียวกัน เพื่อจะเป็นแนวทางที่จะพัฒนาบ้านเมืองเข้าไปสู่ยุคต่อๆ ไปอย่างมั่นคง แล้วทุกๆ คนในสังคมก็จะชัดเจนในบทบาทหน้าที่ของตนเอง และกระทำบทบาทหน้าที่นั้นอย่างเต็มความสามารถ แต่ก็ไม่ลืมที่จะต้องร่วมกับประเมินผลของสังคมร่วมกันเป็นระยะๆ เพื่อที่จะร่วมด้วยช่วยกันแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่อาจจะพบในระหว่างการจัดกิจกรรมกระบวนการพัฒนาที่ทุกๆ คนร่วมกันคิดนั้นจะเป็นแผนแม่บทที่ยั่งยืนยึดถือปฏิบัติ และถูกปรับปรุงให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา
ส่วนที่สำคัญอีกส่วนหนึ่งก็คือการให้โอกาสกับทุกๆ คนที่มีส่วนร่วมในสังคมนั้น
ไม่ว่าจะเป็น เด็ก ผู้ใหญ่ คนชรา ผู้นำในชุมชน และผู้นำศาสนา โดยไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะเข้ามาแบ่งปันความคิดกันในสังคมเพื่อให้เกิดความหลากหลายทางความคิดให้ก่อประโยชน์ต่อตนเอง และส่วนรวม เพราะการที่สังคมใดก็ตามมีกิจกรรมปะทะสังสรรค์ทางความคิดบ่อยๆ ก็จะมีหน่ออ่อนทางความคิดเกิดขึ้น และจะส่งผลให้สังคมนั้นมีผู้ที่จะร่วมทำงานที่เป็นกลุ่มใหม่ๆ อยู่เสมอ สังคมนั้นก็จะมีการเปิดรับสิ่งใหม่ๆ ที่จะเข้ามาปรับปรุงสังคมนั้นให้ดีขึ้นตามกระแสต่างๆ ที่มีมาในปัจจุบัน โดยที่มีการกลั่นกรองสาระหรือกระแสที่จะเข้ามาจากเวทีการประชุมของกลุ่มต่างๆ ที่ปะทะสังสรรค์ทางความคิดกันว่าสิ่งที่ได้รับมานั้นเป็นจริงแค่ไหน และเหมาะสมหรือไม่ที่สังคมของเราจะรับมันเข้ามาอย่างเต็มตัว หรือแบ่งรับแบ่งสู้ หรือไม่รับเลย จะเกิดการป้องกันสังคมและวัฒนธรรมที่อาจจะเสื่อมสลายขึ้นโดยอัตโนมัติ จากกลุ่มต่างๆ ที่หวังดีในสังคมนั้น
เมืองน่าอยู่จะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อคนรู้จักตนเอง สังคมมีคุณธรรม และทุกๆ คนในสังคมมีส่วนร่วมในการวางแผน ปฏิบัติการต่างๆ และพร้อมที่จะรับผลที่เกิดขึ้นทั้งดีและไม่ดี เพื่อที่จะช่วยกันแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ ดังนั้นเราซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของสังคมจึงควรที่จะเข้าไปแสดงบทบาทและใช้สิทธิ์ของเราอย่างเต็มที่เพื่อที่จะช่วยกันสร้างให้เกิดเมืองที่น่าอยู่ พร้อมๆ กับการเชิดชูคุณธรรมให้กลายเป็นวัฒนธรรมของคนที่อยู่ในสังคมนั้น ถ้าเป็นเช่นนี้ได้สังคมก็จะมีกรอบป้องกันสิ่งที่ไม่ดีจากทุกๆ คนในสังคมมิใช่เพียงแต่เจ้าหน้าที่ของรัฐเพียงฝ่ายเดียว เมืองน่าอยู่จึงไม่ใช่ความฝัน แต่หากเป็นความจริงที่ทุกคนทำได้ เพียงแต่จะทำหรือไม่เท่านั้น และคุณจะทำอย่างไรในเมื่อทราบเช่นนี้แล้ว คุณจะให้เมืองน่าอยู่เป็นแค่ฝันของคุณ หรือเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้มันเกิดขึ้นในสังคมปัจจุบันนี้ ไม่มีใครตัดสินใจได้นอกเสียจากตัวของคุณเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น